Saturday, September 15, 2018

เปิดตัว iPhone 3 รุ่นใหม่ สมาร์ทโฟนล้ำสมัยแห่งอนาคต

รายงานจาก แอปเปิล พาร์กเมืองคูเปอร์ติโน ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า แอปเปิลจัดงานใหญ่ประจำปีเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็น iPhone 3 รุ่น และ Apple Watch ใหม่ 1 รุ่น ซึ่งนายทิม คุก ซีอีโอหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปเปิล อิงค์ เป็นผู้กล่าวเปิดงานระบุว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด น่าตื่นเต้นและล้ำสมัยที่สุด

นำโดย iPhone Xs ขนาด 5.8 นิ้ว iPhone Xs Max ขนาด 6.5 นิ้ว ทั้งสองรุ่นโดดเด่นด้วยจอภาพ OLED Super Ratana ที่พัฒนาต่อยอดจาก iPhone X ด้วยหน้าจอที่คมชัด เพราะมีพิกเซลหนาแน่นที่สุดและระบบจัดการสีสันได้แม่นยำ
นายฟิลิปส์ ชิลเลอร์ รองประธานฝ่ายอาวุโส เวิลด์วาย มาร์เกตติ้ง แอปเปิล กล่าวว่า iPhone Xs อัดแน่ด้วยเทคโนโลยีเจเนอเรชันถัดไปและถือเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตของสมาร์ทโฟน เพราะทุกอย่างล้วนมีความล้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็นชิป A12 Bionic ซึ่งเป็นชิปแบบ 7 นาโนเมตรตัวแรกของอุตสาหกรรม พร้อม Neural Engine แบบ 8 คอร์, Face ID ที่เร็วขึ้น รวมถึงระบบกล้องคู่ที่สามารถถ่ายรูปในโหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมด้วย HDR อัจฉริยะและระยะชัดลึกแบบไดนามิก ส่วน iPhone Xs Max มาพร้อมจอภาพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone และแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน จึงสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้นานขึ้นอีก 1 ชั่วโมง

ส่วนระบบกล้องคู่ มีความละเอียดของภาพ 12 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงให้ใครๆก็สามารถถ่ายภาพแสดงรายละเอียดภาพได้ครบถ้วน โบเก้ที่มีคุณภาพดีในระดับเดียวกับกล้องมืออาชีพในโหมดภาพถ่ายส่วนบุคคล และระยะชัดลึกแบบไดนามิก ที่สามารถปรับระยะชัดลึกได้เองในแอปรูปภาพ

สำหรับการถ่ายวิดีโอ มีคุณภาพสูงเพราะพิกเซลใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับเซ็นเซอร์ที่ทำงานเร็วขึ้น เอื้อต่อการถ่ายภาพในภาวะแสงน้อย มีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหว อย่างมีประสิทธิภาพ อัดภาพวิดีโอที่มีความกว้างกว่าปกติได้ที่ความเร็วสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที มีไมโครโฟน 4 ตัว อัดเสียงแบบสเตอริโอ ขณะที่ระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าหรือ Face ID ปลอดภัยและทำงานได้เร็วขึ้นเพราะกล้อง TrueDepth ใช้เทคโนโลยีการรับรู้มิติที่แม่นยำ

โดยราคาจำหน่าย iPhone Xs เริ่มต้นที่ 999 เหรียญสหรัฐฯ ส่วน iPhone Xs Max เริ่มต้นที่ 1,099 เหรียญฯ จำหน่ายในรุ่นความจุ 64 GB, 256 GB และ 512 GB ในสีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และสีทองใหม่ สำหรับตลาดเมืองไทยยังไม่ประกาศแน่ชัดว่าจะจำหน่ายเมื่อไร

ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ตัวสุดท้ายคือ Apple Watch Series 4 มีให้เลือก 2 ขนาดคือ ขนาด 40 มม. และ 44 มม. จอแสดงผลใหญ่กว่าเดิม 30% ตัวเรือนเล็กและบางลง อินเทอร์เฟซใหม่แสดงข้อมูล พร้อมรายละเอียดที่มากขึ้นกว่าเดิม

Apple Watch Series 4 และ watchOS 5 ยังมาพร้อมฟีเจอร์กิจกรรมและการสื่อสารขั้นสูง พร้อมด้วยความสามารถด้านสุขภาพมากมาย รวมถึงอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคปแบบใหม่ ซึ่งสามารถตรวจจับการล้มอย่างรุนแรง วัดการล้มได้สูงสุด 32 แรงจี

และอีกจุดเด่นที่สำคัญคือ มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้าที่สามารถวัดคลื่นหัวใจ (ECG) ได้ ด้วยแอป ECG ใหม่ เพียงสัมผัสปุ่ม Digital Crown แค่ 30 วินาที แอปจะแสดงผลวิเคราะห์การเต้นของหัวใจ วิเคราะห์ได้ว่าการเต้นของหัวใจอยู่ในภาวะปกติหรือผิดปกติมีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนได้ โดยการตรวจบันทึก วินิจฉัย และข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับอาการ จะถูกเก็บรวบรวมไว้ในแอปสุขภาพในรูปแบบ PDF ซึ่งสามารถแชร์กับแพทย์ได้ เซ็นเซอร์นี้ผ่านการรับรองมาตรฐาน De Novo จากคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA เรียบร้อย ขณะนี้เปิดให้สั่งซื้อในบางตลาดแล้ว สำหรับ Apple Watch Series 4 (รุ่น GPS) ส่วนประเทศไทยรอประกาศการวางจำหน่ายอีกครั้ง. 



ที่มา:ไทยรัฐ



Monday, September 10, 2018


Mio เปิดตัวกล้องติดรถอัจฉริยะนำโดย MiVue 792 มี WiFi + GPS ในตัว 
พร้อมฟีเจอร์ใช้งานง่ายเพียบ
การเปิดตัวกล้องติดรถยนต์อัจฉริยะในตระกูล MiVue 7 Series (มีโอ้ ไมวิว ซีรี่ย์ 7) จาก Mio แบรนด์ชื่อดังจากแห่งเมืองเทคโนโลยี (ไต้หวัน) ที่เปิดตัวกันไปแบบสดๆ ร้อนๆ พร้อมกับแนะนำฟีเจอร์เจ๋งๆ ให้เห็นกัน

โดยสินค้าที่เปิดตัวภายในงานนั้น มีทั้งหมด 3 รุ่น นำโดย Mio MiVue 792 กล้องติดรถยต์สเปคเรือธง เซ็นเซอร์ CMOS ถ่ายทีมืดได้ดี มีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสบาย ด้วย WiFi และระบบนำทาง GPS ในตัว ฟีเจอร์ตัดแบ่งวีดีโอในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุความยาว 20 วินาที (ก่อน 5 วินาที - หลัง 15 วินาที) แล้วส่งผ่าน WiFi เข้าไปยังสมาร์ทโฟนได้ทันที และรุ่น MiVue 786 และ MiVue C380D แต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ลองไปดูกัน


กล้องติดรถยนต์รุ่น Mio MiVue 792 (มีโอ้ ไมวิว 792) และรุ่น MiVue 786 (ไมวิว 786) เพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยการรองรับการเชื่อมต่อผ่าน WiFi ให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายโอนและดูคลิปวิดีโอที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากกล้องติดรถยนต์ทั่วไปในท้องตลาดที่ผู้ใช้ต้องเสียเวลาถอดเมมโมรี่การ์ดออกมาเพื่อดูวิดีโอย้อนหลังในคอมพิวเตอร์ ขั้นตอนยุ่งยากและอาจทำให้ล่าช้าเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
กล้องติดรถยนต์ Mio แบบมี WiFi ในตัวมาพร้อมฟีเจอร์เก็บสำรอง (Backup) ไฟล์วิดีโอแบบอัตโนมัติ ดังนี้
เก็บสำรองไฟล์วิดีโอแบบเรียลไทม์: ตัวกล้องจะทำการบันทึกเหตุการณ์และเก็บสำรองไฟล์โดยอัตโนมัติ สามารถเข้าดูคลิปวิดีโอต่างๆ ได้ทันทีอย่างง่ายดาย
บันทึกวิดีโอต่อเนื่อง: ตัวกล้องจะทำการบันทึกวิดีโออย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะที่ผู้ใช้งานกำลังเชื่อมต่อผ่าน WiFi กับโทรศัพท์มือถือ
สามารถตัดแบ่งไฟล์วิดีโอได้: เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา ผู้ใช้สามารถตัดแบ่งคลิปวิดีโอ ณ เวลาที่เกิดเหตุได้ความยาว 20 วินาที (โดยตัวกล้องถูกตั้งค่าไว้ให้บันทึก 5 วินาทีก่อนเกิดเหตุและ 15 วินาทีหลังเวลาที่เกิดเหตุ) ทำให้ได้ไฟล์ขนาดเล็กที่เป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุจริงๆ
สามารถดาวน์โหลดต่อจากที่ดาวน์โหลดค้างไว้ได้ (Download Resume): ใช้งานง่ายสุดๆ ด้วยการกดคลิกเพียงครั้งเดียวเพื่อเริ่มดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอต่อทันทีจากที่ดาวน์โหลดค้างไว้
ไม่รบกวนสายเรียกเข้า: ผู้ใช้ยังคงสามารถรับสายที่โทรเข้ามาได้ แม้ในขณะที่ทำการเก็บสำรองไฟล์วิดีโอลงในมือถือ

รองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง: รองรับการเก็บสำรองข้อมูลทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
กล้องติดรถยนต์ในตระกูล Mio MiVue 7 Series ทุกรุ่นสามารถใช้งานร่วมกับ กล้องมองหลังติดรถยนต์MiVue A30 (ไมวิว เอ30) ได้ โดยกล้องมองหลัง MiVue A30 ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS จากโซนี่ ให้ความคมชัดระดับ Full HD 1080p ใช้เลนส์กระจกคุณภาพสูง เลนส์กล้องมุมมองกว้าง 130 องศา รูรับแสงกว้าง F1.8 และรองรับโหมดบันทึกวิดีโอในเวลากลางคืน
นอกเหนือจากการเปิดตัวกล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่ในตระกูล MiVue 7 Series แล้ว ทาง Mio ยังเปิดตัวกล้องติดรถยนต์ Mio MiVue C380D (มีโอ้ ไมวิว ซี380ดี) สามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพความคมชัดระดับ Full HD 1080p ที่เฟรมเรท 30 FPS ต่อวินาที ตัวกล้องทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ของโซนี่ มอบความปลอดภัยขณะขับขี่ครอบคลุมในทุกๆ มุมมอง พร้อมมีระบบนำทาง GPS ในตัว ที่นอกจากจะแสดงตำแหน่งของรถแล้ว ยังสามารถบอกความเร็วรถ ระบุพิกัดละติจูดและลองติจูด และบันทึกเส้นทางที่เดินทางไปได้อย่างครบถ้วนทุกการเดินทาง
กล้องติดรถยนต์ทุกรุ่นมีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ สำหรับรุ่น Mivue 792 และ Mivue C380D ราคาเริ่มต้น 8,900 บาท สำหรับรุ่น Mivue 786 ราคาเริ่มต้นที่ 7,900 บาท และสำหรับรุ่น MiVue A30 ราคาเริ่มต้นที่ 4,900 บาท
ที่มา:ไทยแวร์

Sunday, September 2, 2018

     my AIS จัดเต็มในแอปเดียว ชีวิตดิจิทัลสะดวกสบายครบถ้วน
ชีวิตยุคดิจิทัลลื่นไหลสะดวกสบาย เพราะเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตลงตัวมากขึ้น และพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ผู้นำเครือข่ายโทรศัพท์มือถืออย่าง AIS (เอไอเอส) เดินหน้านำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนางานบริการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หนุ่มสาวยุคปัจจุบัน บุษยา สถิรพิพัฒน์กุล ผู้บริหารเอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอสเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาออกแบบงานบริการ เพื่อนำเสนอเป็นโซลูชันใหม่ๆให้ลูกค้าอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน เราไม่ลืมที่จะผนวกเทคโนโลยีเหล่านั้นเข้ากับการให้บริการด้วยใจ หรือ Human Touch เพื่อสร้างความพอใจให้ลูกค้า ภายใต้แนวคิด “AIS 360 ที่ 1 ดูแลด้วยใจ ให้ชีวิตดิจิทัล
สำหรับการบริการที่จัดเต็มของเอไอเอส มีตั้งแต่บริการ “Full-E” ที่สะดวกสบายครบถ้วน ทั้งเช็กยอด จ่าย รับบิลและใบเสร็จ ที่จบในแอปพลิเคชัน my AIS เพียงแอปเดียว ไม่ว่าจะเป็น eBill เช็กบิลค่าใช้บริการผ่านมือถือ พร้อม SMS แจ้งเตือน, ePay จ่ายบิลออนไลน์ได้หลายช่องทาง และ eReceipt เรียกดูใบเสร็จย้อนหลังได้สูงสุด 3 เดือน จะเริ่มให้บริการในไตรมาส 4 ปีนี้

ที่มา:ไทยรัฐ

ส่องดีไซน์ 5 สมาร์ทโฟนที่ได้แรงบันดาลใจจาก 'iPhone X'






ในช่วงนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง และที่น่าแปลกใจคือ ดีไซน์ที่คล้ายคลึงกันอย่างกับแกะ...
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2560 แอปเปิลสร้างปรากฏการณ์เปิดตัวไอโฟนใหม่ในชื่อรุ่น "iPhone X" ที่แรงทั้งดีไซน์และราคา เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไปทั่วโลก จึงไม่แปลกที่แบรนด์อื่นๆ จะได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบ 'รอยบาก' กลางหน้าจอด้านบนให้มีลักษณะเก๋ๆ เหมือนกับ iPhone X

1. ASUS ZENFONE 5 / 5Z
สมาร์ทโฟนที่กำลังมาแรง และมี 'กงยู' สามีแห่งชาติของเกาหลีเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ได้รับการจัดอันดับจาก DxO Mark เว็บไซต์ชื่อดังในการจัดอันดับจาก DxO Mark เว็บไซต์ชื่อดังในการจัดอันดับกล้องและสมาร์ทโฟนได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพกล้อง ASUS ZenFone 5 และให้เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม ติดอันดับที่ 12 ของการจัดอันดับกล้องจากสมาร์ทโฟนที่วางขายในตลาด เหนือคู่แข่งอย่าง iPhone 7 และ iPhone 7 plus ด้วยนะ

2. OnePlus 6
มาพร้อม CPU Snapdragon 845 ซึ่งเป็นชิปเซตรุ่นท็อปสุดในตลาด และ RAM 8GB สูงที่สุดในตลาด ว่ากันว่าเจ้าสมาร์ทโฟนตัวนี้ติดท็อปในด้านของมือถือสำหรับเล่นเกม

3. LG G7 ThinQ
สมาร์ทโฟนที่รับด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 845 บน Android Oreo หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว Super Bright Display มีความพิเศษที่ระบบเสียงเซอร์ราวด์แบบ 3 มิติ และการนำ AI เข้ามาใช้ควบคู่ แถมกล้องหลังยังเป็นกล้องคู่ความละเอียดสูงถึง 16 ล้านพิกเซลด้วยนะ

4. Huawei P20 Pro
สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ที่พัฒนาร่วมกับ Leica และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI บนหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ใช้หน่วยประมวลผล Kiri 970 ช่วยตรวจจับและวิเคราะห์ฉากหลังกว่า 500 แบบ และวัตถุต่างๆ ได้ถึง 19 ประเภท พร้อมปรับการตั้งค่าต่างๆ อัตโนมัติให้เหมาะสมกับวัตถุที่ถ่ายมากที่สุด

5. OUKITEL U18
ถึงจะไม่เหมือนก็ใกล้เคียงมากที่สุด แต่มาในราคาที่เบากว่าเยอะ (มาก) แต่ฟังก์ชั่นที่ได้มาก็น้อยกว่ามากเช่นกัน วางขายแล้วในต่างประเทศ ตามรีวิวจากสื่อนอก ว่ากันว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถใช้งานได้ดีเหมาะสมกับราคา ส่วนดีไซน์ภายนอกยังใกล้เคียงกับแบรนด์ดังมากด้วย

ถือว่าเป็นดีไซน์ที่แรงที่สุดใน พ.ศ.นี้เลยก็ว่าได้ ถ้าคุณชอบในดีไซน์ 'รอยบาก' แล้วสู้ราคาค่าตัวของไอโฟน X ไม่ไหว ก็ลองสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จากค่ายด้านบนดูก็ได้นะ...

ที่มา:ไทยรัฐ

Sunday, August 19, 2018

สำหรับนักปั่นจักรยาน

Komoot แอปพลิเคชันสำหรับนักปั่นจักรยาน สำหรับเส้นทางปั่นในเมืองที่อาศัยอยู่เป็นประจำนักปั่นมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่หากอยู่ในต่างประเทศ คงจะไม่รู้แน่ๆว่าถนนเส้นไหนมีวิวที่สวยที่สุดที่คุ้มจะเสียเหงื่อเพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น ฟีเจอร์ที่ดีที่สุดของแอปนี้ คือการให้คำแนะนำเรื่องเส้นทางที่ดีที่สุดจากคนท้องถิ่นและไฮไลต์สำคัญๆที่ห้ามพลาดจากคนในชุมชนของแอป เราเองก็สามารถเพิ่มไฮไลต์พวกนี้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการผจญภัยครั้งต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ จุดน่าสนใจ หรือแม้กระทั่งร้านไอศกรีมก็ตาม แอปนี้ใช้งานแบบออฟไลน์ได้ ดาวน์โหลดใช้งานฟรี

ที่มา:ไทยรัฐ

Monday, August 13, 2018


โรลส์รอยซ์เปิดแผนลุยแท็กซี่บินได้

มาอีกรายแล้ว โรลส์รอยซ์ ผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินสัญชาติอังกฤษ เปิดแผนผลิตแท็กซี่ไฮบริดบินได้และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเผยโฉมพาหนะต้นแบบได้ภายใน 18 เดือน เพื่อให้ทันนำออกให้บริการหลังปี 2563

โรลส์รอยซ์ ถือเป็นอีก 1 ผู้ผลิต ที่กำลังเตรียมตัวเข้าแข่งขันในสมรภูมิอากาศยานแท็กซี่ โดยได้เปิดตัวแท็กซี่ไฮบริดบินได้ขึ้นครั้งแรกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ในงานแสดงอากาศยาน Farnborough International Airshow


อย่างไรก็ตามสิ่งที่โรลส์รอยซ์นำมาโชว์ ยังเป็นเพียงแผนการผลิตเท่านั้น โดยบริษัทคาดหวังว่าจะสามารถผลิตพาหนะต้นแบบได้ภายใน 18
เดือนนับจากนี้ เพื่อที่จะทำการทดสอบการบินให้ได้หลังปี 2563

อากาศยานชนิดนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Electric Vertical Take-off and Landing (Evtol) จุคนได้ราว 4-5 คน บินได้ระยะทางสูงสุด 805 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เราจะได้เห็นอากาศยานเช่นนี้ บินให้บริการภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ โดยสำหรับโรลส์รอยซ์คาดหวังว่าจะสามารถโชว์เครื่องต้นแบบและสาธิตการทำงานของพาหนะชนิดนี้ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้าร็อบ วัตสัน หัวหน้าทีมรถยนต์ไฟฟ้าของโรลส์รอยซ์ เปิดเผย

เบื้องต้นโรลส์รอยซ์ใช้งบประมาณในการพัฒนาอากาศยานไฮบริดรุ่นนี้ไปแล้วเกือบ 10 ล้านปอนด์ (ราว 420 ล้านบาท) โดยเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์แบบเทอร์บายน์ (Terbine) ซึ่งทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า
 นอกจาก Evtol แล้ว โรลส์รอยซ์ยังกำลังพัฒนาพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าหลากหลาย แต่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น

โรลส์รอยซ์เชื่อว่า อากาศยานไฮบริดจะเป็นยานพาหนะที่ตอบโจทย์การเดินทางระหว่างเมือง แต่หากต้องการเดินทางข้ามประเทศหรือไกลกว่านั้น ระยะทางระหว่าง 200-300 ไมล์ เช่น จากลอนดอนไปปารีส ก็คงต้องหันไปหายานพาหนะประเภทอื่น ที่ทำระยะได้ไกลกว่า

ทั้งนี้ นอกจากโรลส์รอยซ์ ซึ่งเปิดตัวเป็นรายล่าสุดแล้ว ตลาดแท็กซี่บินได้ ยังกำลังหอมหวน เนื่องด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่จากหลากหลายสาขา กำลังให้ความสนใจและเข้ามาแข่งขันแบ่งเค้ก ไม่ว่าจะเป็น อูเบอร์ (Uber), Kitty Hawk Project ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกูเกิล, Lilium Aviation จากเยอรมัน, Satran ในฝรั่งเศส และฮันนี่เวลล์แห่งสหรัฐอเมริกา.



ที่มา:ไทยรัฐ













Tuesday, August 7, 2018

รู้จัก 'ไซมอน' หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศระบบ AI ตัวแรกของโลก


ไซมอน คือหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศระบบปัญญาประดิษฐ์ตัวแรกของโลกที่ได้เดินทางสู่สถานีอวกาศนานาชาติ เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวฮือฮากันในโลกโซเชียล เกี่ยวกับ หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่เพิ่งถูกส่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ...นี่คือหุ่นยนระบบ AI ตัวแรกที่ถูกส่งขึ้นไป


1. ไซมอนเป็นหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้เทคโนโลยีไอบีเอ็ม วัตสัน ที่ได้ติดตามนักบินอวกาศที่ชื่อนายอเล็กซานเดอร์ เกิร์สต ไปสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)

2. เป้าหมายของการส่งไซมอนขึ้นไปคือการช่วยนักบินอวกาศปฏิบัติการ 3 ภารกิจ ได้แก่ 1. การร่วมกันทำการทดลองกับคริสตัล 2. แก้ไขปัญหาลูกบาศก์ของรูบิกโดยอาศัยวิดีโอต่างๆ 3. ทดลองทางการแพทย์ที่ซับซ้อนโดยใช้ไซมอนทำหน้าที่กล้องบินได้


3. ไซมอนเป็นระบบอัจฉริยะแบบอินเตอร์แอคทิฟที่พกพาได้ ที่จะเป็นผู้ช่วยนักบินอวกาศเกิร์สตในภารกิจครั้งที่ 2 สู่สถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการสถานีอวกาศในช่วงที่สองของการปฏิบัติการระยะเวลา 6 เดือน


4. หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ไซมอนมีลักษณะเป็นอุปกรณ์กลมๆ ขนาดเล็ก มีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม ใบหน้าและเสียงดิจิทัล รวมถึงการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ของไซมอน ทำให้ไซมอนเป็นเหมือน “เพื่อนร่วมงาน” ของบรรดาลูกเรือบนอวกาศ (ถ้าคุณมีเพื่อนที่หัวกลมๆ อะนะ)

5. กลุ่มนักพัฒนาที่รับผิดชอบการพัฒนาไซมอนคาดการณ์ว่าไซมอนจะช่วยลดความเครียดของบรรดานักบินอวกาศ ขณะเดียวกันก็ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและทำหน้าที่เป็นระบบเตือนล่วงหน้าในกรณีที่เกิดปัญหาทางเทคนิค ซึ่งถือเป็นการเข้ามาช่วยปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยด้วย

6. ปัจจุบันไซมอนได้รับการฝึกอบรมให้สามารถระบุสภาพแวดล้อมของตนและสามารถระบุคู่สนทนาที่เป็นมนุษย์ที่กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับตนได้โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) ช่วยให้ไซมอนสามารถประมวลผลข้อความ คำพูด และรูปภาพรวมถึงช่วยดึงข้อมูลและข้อค้นพบต่างๆ ได้อีกด้วย

7. ไซมอนสามารถเคลื่อนที่ไปรอบๆ ได้อย่างไร้ปัญหาไซมอนยังได้เรียนรู้ขั้นตอนดำเนินการทั้งหมดเพื่อให้สามารถช่วยทำการทดลองต่างๆ บนยานอวกาศได้อีกด้วย โดยบางครั้งการทดลองอาจประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ มากกว่า 100 ขั้นตอนที่แตกต่างกัน ซึ่งไซมอนรู้จักขั้นตอนเหล่านั้นทั้งหมด

8. โมเดลข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของไอบีเอ็มที่อยู่ในไซมอนจะช่วยให้องค์กรสามารถฝึกโมเดล AI ด้วยเทคโนโลยีของวัตสัน โดยไม่จำเป็นต้องผสานรวมข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือมีกรรมสิทธิ์เข้ากับโมเดลแบบสาธารณะแต่อย่างใด และจะไม่มีองค์กรใด (หรือแม้แต่ไอบีเอ็ม)ที่สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้พัฒนาแอปพลิเคชัน AI อื่นๆ เพิ่มเติมได้

9. ในระยะกลาง โครงการไซมอนจะมุ่งที่ผลของกลุ่มทางจิตวิทยาซึ่งสามารถเกิดขึ้นกับทีมเล็กๆ ระหว่างภารกิจระยะยาวบนอวกาศ โดยผู้สร้างสรรค์ไซมอนมีความมั่นใจว่าการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์

ที่มา:ไทยรัฐ